ท่าเรือขนส่งสินค้า

ท่าเรือขนส่งสินค้า สำคัญต่อธุรกิจอย่างไร

ท่าเรือขนส่งสินค้า (Cargo Port) ถือว่ามีบทบาทสำคัญในระบบโลจิสติกส์และการค้าระหว่างประเทศเป็นอย่างมาก สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในส่วนของการจัดเก็บและขนส่งสินค้า รวมทั้งยังช่วยขยายโอกาสไปยังตลาดใหม่ ๆ ทั่วโลก การทำความรู้จักการขนส่งทางน้ำ และท่าเรือขนส่งสินค้า ถือว่าจำเป็นอย่างมากเช่นกัน 

ท่าเรือขนส่งสินค้า สำคัญอย่างไร

ท่าเรือขนส่งสินค้า (Cargo Port) คือ สถานที่ที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้เรือขนส่งสินค้าเข้าเทียบท่า บรรทุก และขนถ่ายสินค้าขาเข้าและขาออกของประเทศ เรียกได้ว่ามีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งในแง่ของการสร้างงานและกระจายความเจริญสู่ท้องถิ่น และในแง่ของการเป็นประตูการค้า เชื่อมต่อระหว่างประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งส่งเสริมเรื่องการลงทุนจากต่างประเทศด้วย 

ข้อดีของการใช้บริการท่าเรือขนส่งสินค้า

การขนส่งสินค้าทางเรือ ได้รับความนิยมตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยสินค้าที่นิยมขนส่งทางเรือ จะมีตั้งแต่สินค้าหมวดโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมันดิบ แร่ธาตุ สินค้าเกษตร น้ำมันพืช ก๊าซธรรมชาติ ฯลฯ สินค้าหมวดอุตสาหกรรม เช่น เครื่องจักร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ฯลฯ หรือสินค้าหมวดทั่วไป เช่น เฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้า ฯลฯ หรือแม้แต่หมวดสินค้าอันตราย และเคมีภัณฑ์ต่างๆ เช่น ยาฆ่าแมลง วัตถุไวไฟ วัตถุระเบิด สารพิษ ยาง ฯลฯ เพราะการขนส่งทางเรือมีข้อดีและข้อได้เปรียบหลายอย่าง ดังนี้

  1. ต้นทุนต่ำ

ราคาต้นทุนต่อหน่วยต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับการขนส่งรูปแบบอื่น อย่างเครื่องบิน หรือรถยนต์ เพราะการขนส่งทางเรือแต่ละเที่ยว สามารถขนส่งได้ในปริมาณมาก รวมถึงสามารถขนส่งสินค้าขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากได้ด้วย

  1. ขนส่งระยะไกล 

การขนส่งสินค้าทางเรือ สามารถเข้าถึงท่าเรือต่าง ๆ ได้ทั่วโลก เพียงแต่จะต้องใช้เวลาในการขนส่งมากกว่าการขนส่งรูปแบบอื่น แต่ก็นับว่าเป็นการขนส่งที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับการขนส่งรูปแบบอื่น

  1. ระบบติดตามสินค้าที่ทันสมัย

การขนส่งทางเรือในปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยในหลาย ๆ ขั้นตอน หนึ่งในนั้นคือการ tracking สินค้า ที่ทำให้ผู้ประกอบการสามารถติดตามสินค้าได้แบบเรียลไทม์ 

  1. ความปลอดภัยสูง

เนื่องจากใช้ความเร็วในการขับเคลื่อนที่ช้า จึงทำให้โอกาสเกิดความเสียหายต่อตัวสินค้าลดลง โดยเฉพาะสินค้าอันตราย และเคมีภัณฑ์ ที่จำเป็นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้เกิดการรั่วไหลจนส่งผลกระทบต่อชีวิต สิ่งแวดล้อม หรือทรัพย์สินต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการขนส่งสินค้าอันตราย ไม่เพียงแต่ต้องควบคุมดูแลเรื่องการขนส่งเท่านั้น แต่ต้องพิจารณาตั้งแต่คลังจัดเก็บสินค้าอันตราย ที่ต้องมีพื้นที่จัดเก็บที่มีมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยสูง มีระบบป้องกันภัยและเหตุฉุกเฉินในกรณีที่เกิดเหตุรั่วไหล รวมทั้งมีทีมฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ที่สามารถเข้าประจำการได้ทันท่วงทีด้วย 

  1. มีให้บริการคลังเก็บสินค้าขนาดใหญ่

ส่วนใหญ่แล้วบริเวณท่าเรือ มักจะมีบริการคลังสินค้า ทั้งคลังจัดเก็บสินค้าทั่วไป และคลังจัดเก็บสินค้าอันตราย ให้เช่าแบบครบวงจร พร้อมด้วยระบบทันสมัย และเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญให้ความดูแลตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความปลอดภัยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทำให้คุณไม่ต้องวุ่นวายจัดการสินค้าและการขนส่งเอง เพราะมีเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาและดำเนินการเรื่องเอกสารต่าง ๆ โดยเฉพาะสินค้าอันตราย ที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญ และความพร้อมในการบริหารจัดการความปลอดภัย

ท่าเรือขนส่งสินค้าที่สำคัญในประเทศไทย

ท่าเรือขนส่งสินค้าที่สำคัญในไทยมีหลายแห่ง แต่ที่อยู่ในการกำกับดูแลของการท่าเรือแห่งประเทศไทย มีอยู่ด้วยกัน 5 แห่ง ได้แก่

  • ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัด. ชลบุรี 
  • ท่าเรือกรุงเทพ จังหวัด กทม.
  • ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน จังหวัด เชียงราย
  • ท่าเรือระนอง จังหวัด ระนอง
  • ท่าเรือเชียงของ จังหวัด เชียงราย

ในบรรดาท่าเรือสำคัญในไทย มีหนึ่งท่าเรือขนส่งสินค้าที่ตอนนี้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ เพราะเป็นท่าเรือแห่งเดียวที่เป็นส่วนสำคัญของโครงการ EEC นั่นคือ ท่าเรือแหลมฉบัง ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรีนั่นเอง โดยท่าเรือแหลมฉบัง ยังถือเป็นท่าเรือขนส่งสินค้าที่มีบทบาทสำคัญในการนำเข้าและส่งออกสารเคมีหรือสินค้าอันตรายในประเทศไทย โดยสินค้าอันตรายทั้งหมดที่ผ่านท่าเรือแหลมฉบังมีประมาณ 70% จากปริมาณสินค้าอันตรายทั้งหมดที่ผ่านท่าเรือในประเทศไทย เพราะเป็นท่าเรือน้ำลึกที่สำคัญ บวกกับความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีที่ทันสมัย ระบบความปลอดภัยที่เข้มงวด และความสะดวกจากการเชื่อมต่อกับระบบขนส่งทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ

โครงการ EEC กับบทบาทสำคัญในการเพิ่มศักยภาพให้การขนส่งสินค้าทางเรือ

EEC ย่อมาจาก Eastern Economic Corridor หรือ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เป็นแผนยุทธศาสตร์ชาติมุ่งเน้นพัฒนาพื้นที่ 3 จังหวัดในภาคตะวันออก ได้แก่ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา โดยมีเป้าหมายหลัก 3 ประการ ได้แก่

  • เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ พัฒนาพื้นที่ให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ 
  • พัฒนาเศรษฐกิจ กระตุ้นการสร้างงาน สร้างรายได้ สู่ท้องถิ่น
  • พัฒนาคุณภาพชีวิต โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภคต่าง ๆ รวมถึงคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ โดย EEC ได้กำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ 5 คลัสเตอร์หลักเพื่อเชื่อมโอกาสการลงทุนจากทั่วโลก ได้แก่ 
  • อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ 
  • อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ดาต้าเซนเตอร์ เซมิคอนดักเตอร์ 
  • อุตสาหกรรมยานยนต์ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยียานยนต์ ระบบโลจิสติกส์ 
  • อุตสาหกรรม BCG (Bio-Circular-Green Economy) เป็นโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม โดยใช้ทรัพยากรชีวภาพ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ลดมลพิษ และรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ เชื้อเพลิงและเคมีชีวภาพ พลังงานสะอาด เป็นต้น
  • อุตสาหกรรมบริการ มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาศักยภาพของคนไทยให้เป็นศูนย์กลางบริการชั้นนำ รวมไปถึงโลจิสติกส์ การเงิน การท่องเที่ยว เช่น การท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดี และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การพัฒนาบุคลากรและการศึกษา การบินและโลจิสติกส์ 

พร้อมกันนี้ยังมีสิทธิพิเศษสำหรับธุรกิจในพื้นที่โครงการ EEC ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโต ช่วยดึงดูดการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยสิทธิพิเศษต่าง ๆ มีดังนี้

  • ด้านภาษี ยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 
  • ด้านศุลกากร ยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีศุลกากรสำหรับการนำเข้าวัตถุดิบ เครื่องจักร อุปกรณ์
  • ด้านวีซ่า อนุญาตให้แรงงานต่างชาติที่มีทักษะสูงเข้าทำงานในพื้นที่ EEC ได้สะดวก
  • ด้านการอนุญาตประกอบธุรกิจ อำนวยความสะดวกในการขออนุญาตประกอบธุรกิจ
  • ด้านแหล่งทุน สนับสนุนแหล่งทุน เงินทุน สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายและสะดวก

การผลักดันโครงการ EEC ทำให้เกิดการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ และธุรกิจโลจิสติกส์ โดยการเชื่อมต่อระบบขนส่งทางบก ทางราง และทางอากาศเข้าด้วยกัน รวมทั้งการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการท่าเรือ พัฒนาระบบสินค้า ระบบติดตามสินค้า ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศแล้ว ยังเป็นประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการที่ใช้บริการขนส่งทางเรือ เพราะจะช่วยลดต้นทุน และเพิ่มความปลอดภัยในการขนส่งสินค้าด้วย

ผู้ประกอบการที่กำลังมองหาบริการคลังจัดเก็บสินค้าอันตรายในพื้นที่ใกล้เคียงท่าเรือแหลมฉบัง SCGJWD เป็นผู้ประกอบการรายเดียวที่ให้บริการคลังสินค้าอันตราย ภายใต้การกำกับดูแลของท่าเรือแหลมฉบัง โดยทำหน้าที่บริหารจัดการตู้สินค้า ทั้งนำเข้าและส่งออก ด้วยมาตรฐานการจัดการระดับสากลและตามประกาศโรงงานอุตสาหกรรม พร้อมนวัตกรรมบริหารจัดการสินค้าอันตรายแบบครบวงจร


​​​​​​​​​​สนใจใช้บริการท่าเรือขนส่งสินค้า และคลังจัดเก็บสินค้าอันตราย หรือติดต่อเจ้าหน้าที่ได้ที่เบอร์ 02-710-4000 / 02-586-1979 และช่องทางไลน์ LINE : @SCGJWD


ที่มา :

www.port.co.th

www.eeco.or.th

www.nia.or.th 

www.bangkokbiznews.com

Service Recommended