เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานอยู่ภายในคลังสินค้าทั่วไป

รูปแบบคลังสินค้ามีอะไรบ้าง ? เลือกถูกหลัก ปั้นธุรกิจโตชัวร์

การเลือกประเภทคลังสินค้าให้เหมาะสมกับลักษณะสินค้าและรูปแบบธุรกิจ คือหนึ่งในกุญแจสำคัญของการบริหารซัพพลายเชนอย่างมีประสิทธิภาพ การทำความเข้าใจในเรื่องคลังสินค้าแต่ละประเภท จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนและบริหารงานด้านโลจิสติกส์ สู่การลดต้นทุน เพิ่มความคล่องตัวในการกระจายสินค้า พร้อมช่วยลดความเสี่ยงที่ธุรกิจจะได้รับความเสียหายจากการจัดเก็บสินค้าผิดวิธี


9 ประเภทของคลังสินค้า รองรับความต้องการของทุกอุตสาหกรรม

คลังสินค้า หรือ Warehouse คือสถานที่ที่ใช้สำหรับเก็บรักษาสินค้าในระหว่างรอการจัดส่งหรือการจำหน่าย เพื่อช่วยให้การจัดการสินค้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น การเลือกประเภทของคลังสินค้าที่เหมาะสมกับลักษณะสินค้ายังจะส่งผลดีต่อธุรกิจ ทั้งช่วยลดต้นทุนด้านการจัดเก็บ และสามารถตอบสนองความต้องการทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ซึ่งหากถามว่า Warehouse มีอะไรบ้าง คงต้องบอกว่ามีอยู่หลายประเภทด้วยกัน โดยแต่ละประเภทก็มีจุดเด่นและเหมาะกับลักษณะสินค้าที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่สินค้าทั่วไปไปจนถึงสินค้าที่ต้องการการจัดเก็บในแบบเฉพาะ ดังนี้


1. คลังสินค้าทั่วไป (General Warehouse)

คลังสินค้าทั่วไป คือ พื้นที่ที่ใช้สำหรับจัดเก็บสินค้าที่ไม่ต้องการการควบคุมพิเศษใด ๆ ทั้งอุณหภูมิหรือข้อกำหนดเฉพาะอื่น ๆ เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือวัสดุก่อสร้าง จุดเด่นอยู่ที่ความยืดหยุ่นและความสะดวกในการจัดเก็บสินค้าที่หลากหลายประเภท สามารถรองรับการจัดการสินค้าขนาดใหญ่ได้สะดวก


2. คลังสินค้าปลอดอากร (Free Zone Warehouse)

คลังสินค้าปลอดอากรหรือ Free Zone Warehouse เป็นพื้นที่ที่อนุญาตให้ผู้ประกอบการเก็บสินค้าโดยไม่ต้องชำระภาษีนำเข้าและอากรจนกว่าจะทำการขายหรือส่งออกสินค้าภายในประเทศ ช่วยลดต้นทุนทางภาษีและเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารจัดการสินค้าระหว่างรอจำหน่ายหรือส่งออก ทำให้ผู้ประกอบการมีเวลาในการตัดสินใจหรือทำการตลาดได้ดียิ่งขึ้น


3. คลังสินค้าห้องเย็น (Cold Storage Warehouse)

คลังสินค้าห้องเย็นเปรียบเสมือนตู้เย็นขนาดยักษ์ ที่ถูกออกแบบมาสำหรับการเก็บรักษาสินค้าที่ต้องควบคุมอุณหภูมิและความชื้น เช่น อาหารสด เนื้อสัตว์ หรือยา เพื่อรักษาความสดใหม่และคงคุณภาพของสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐาน จึงเหมาะสำหรับธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศที่มีข้อกำหนดด้านอุณหภูมิทุกชนิด


4. คลังสินค้าเคมีภัณฑ์และวัตถุอันตราย (Chemicals & Dangerous Goods Warehouse)

เคมีภัณฑ์และวัตถุอันตรายถือเป็นสินค้าที่มีข้อกำหนดด้านการจัดเก็บที่เข้มงวด เพื่อความปลอดภัยของสถานที่และเจ้าหน้าที่ จึงต้องจัดเก็บไว้ในคลังสินค้าอันตรายที่ได้รับการออกแบบมาสำหรับเก็บสารเคมีและสินค้าวัตถุอันตรายโดยเฉพาะ ทั้งยังต้องปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูง มีระบบป้องกันการระเบิดและการซึมซับสารเคมี เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ


5. คลังสินค้าอัตโนมัติ (Automated Warehouse)

รูปแบบคลังสินค้าอัตโนมัติ ได้มีการนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมาดำเนินการจัดเก็บและเบิกสินค้า ทำให้กระบวนการเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีความแม่นยำสูง ลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการสินค้าในเวลาอันรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มความสะดวกในการจัดเก็บสินค้าในพื้นที่จำกัดผ่านระบบ ASRS (Automated Storage and Retrieval System) อีกด้วย โดยคลังสินค้าที่ใช้ระบบอัตโนมัติ 100% จะเรียกว่าเป็น Dark Warehouse ซึ่งเป็นคลังสินค้าที่ดำเนินงานแบบไร้แสงสว่าง เพราะไม่จำเป็นต้องใช้แรงงานคน ระบบทั้งหมดควบคุมโดยหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ทำให้ลดต้นทุนแรงงานได้สูงสุด และสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงอย่างต่อเนื่อง


6. คลังเอกสาร (Document Storage Warehouse)

คลังเอกสารถูกออกแบบมาเพื่อเก็บเอกสารที่สำคัญ เช่น เอกสารราชการ หรือเอกสารธุรกิจ ซึ่งต้องการการจัดการที่มีระบบและความปลอดภัยสูง โดยทั่วไปจะมีการจัดเก็บทั้งในรูปแบบกระดาษและดิจิทัล โดยจะให้ความสำคัญด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลเป็นหลัก แต่ยังสามารถเข้าถึงเอกสารได้อย่างรวดเร็วด้วยการใช้ระบบการค้นหาข้อมูลประสิทธิภาพสูง


7. คลังสินค้าเฉพาะทางตามอุตสาหกรรม (Industrial-Specific Warehouse)

สินค้าในอุตสาหกรรมเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า หรืออุปกรณ์เทคโนโลยีขั้นสูง อาจมีข้อกำหนดพิเศษในการจัดเก็บ เช่น การป้องกันไฟฟ้าสถิตหรือการป้องกันความชื้น คลังสินค้าประเภทนี้จึงถูกพัฒนาขึ้น เพื่อตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรมโดยตรง ทำให้การจัดการสินค้ามีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น


8. คลังสินค้าแบบ Built-to-Suit

ปิดท้ายด้วย Built-to-Suit ซึ่งเป็นประเภทคลังสินค้าที่ออกแบบและสร้างตามความต้องการของลูกค้าโดยเฉพาะ สามารถปรับขนาดและฟังก์ชันต่าง ๆ ของคลังให้สอดคล้องกับลักษณะสินค้าและการดำเนินธุรกิจได้อย่างยืดหยุ่น ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถใช้พื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รองรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคตได้ดีเยี่ยม โดยคลังสินค้าประเภทนี้เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการเช่าระยะยาวหรือมองหาโซลูชันร่วมลงทุนกับผู้ให้บริการโลจิสติกส์


9. ศูนย์กระจายสินค้า Distribution Center

ศูนย์กระจายสินค้า หรือ คลังกระจายสินค้า เป็นคลังสินค้าที่เรามักได้ยิน และ พบได้บ่อยโดยเฉพาะการเติบโตของ e-commerce ทำให้ศูนย์กระจายสินค้า มีบทบาทต่อซัพพลายเชนมากยิ่งขึ้น โดยชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า เป็นคลังสินค้าที่เอาไว้กระจายสินค้าเป็นหลัก มักจะมีกิจกรรมในคลังสินค้า เช่น cross docking ที่จะเป็นถ่ายสินค้าโดยตรงจากรถขนส่งขาเข้าไปยังรถขนส่งขาออก โดย ไม่ต้องจัดเก็บในคลังสินค้านาน

คู่มือเลือกรูปแบบคลังสินค้า ดูแลปลอดภัยก่อนถึงมือผู้รับ

จากประเภทของคลังสินค้าที่มีอยู่อย่างหลากหลาย สะท้อนให้เห็นว่าสินค้าแต่ละชนิด ย่อมมีความต้องการในการเก็บรักษาที่แตกต่างกันไป แต่นอกเหนือจากการเลือกรูปแบบคลังสินค้าให้เหมาะสมกับสินค้าแล้ว ยังจะต้องพิจารณาหลักเกณฑ์อื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อให้การจัดเก็บสอดคล้องกับห่วงโซ่อุปทานขององค์กร พร้อมกับช่วยลดต้นทุนได้อย่างแท้จริง

  • พิจารณาประเภทสินค้าเพื่อตรวจสอบข้อกำหนดหรือข้อจำกัดในการจัดเก็บ เพื่อให้การจัดเก็บสินค้าดำเนินไปอย่างปลอดภัยและเป็นไปตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด
  • วิเคราะห์ลักษณะการหมุนเวียนสินค้า เพื่อช่วยควบคุมต้นทุน หากเป็นสินค้าหมุนเวียนช้า อาจเลือกคลังที่เน้นพื้นที่มากกว่าระบบการจัดการ เพื่อประหยัดต้นทุนค่าเช่าคลัง แต่ถ้าเป็นสินค้าหมุนเวียนเร็ว แนะนำให้เลือกคลังที่มีระบบจัดการรวดเร็วและอยู่ใกล้จุดกระจายสินค้า เพื่อให้ช่วยสามารถบริหารจัดการได้อย่างสะดวกขึ้น 
  • ตรวจสอบความต้องการในการควบคุมอุณหภูมิ อ้างอิงตามประเภทสินค้าและข้อกำหนดด้านกฎหมาย และควรมีระบบติดตามอุณหภูมิแบบเรียลไทม์ด้วย
  • เลือกคลังสินค้าที่มีความยืดหยุ่นเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการด้านการจัดเก็บในแต่ละฤดูกาล รวมทั้งมีบริการเสริมที่เอื้อต่อการทำธุรกิจ เช่น บริการ Fulfillment และระบบ WMS
  • มองหาคลังสินค้าที่ง่ายต่อการเชื่อมโยงกับเครือข่ายการขนส่ง เช่น อยู่ใกล้ท่าเรือ ท่าอากาศยาน หรือจุดกระจายสินค้าหลัก เพื่อเพิ่มความสะดวกและการจัดส่งสินค้าถึงมือผู้รับแบบไร้รอยต่อ
  • ตรวจสอบมาตรฐานและใบอนุญาตที่คลังสินค้าได้รับ เช่น ISO 9001, HACCP, GMP การมีใบอนุญาตครบถ้วน จะช่วยลดปัญหาทางกฎหมายและลดความเสี่ยงด้านความเสียหายจากการจัดเก็บผิดมาตรฐาน
  • อย่ามองแต่ค่าเช่าต่อตารางเมตร แต่ต้องพิจารณาค่าใช้จ่ายโดยรวม เพื่อนำไปสู่การวางแผนที่ช่วยประหยัดต้นทุนได้อย่างยั่งยืน โดยค่าใช้จ่ายนอกเหนือจากค่าเช่าคลังสินค้าที่พบบ่อย ได้แก่ ค่าขนส่งไปกลับ ค่าบริการจัดการสินค้า และค่าใช้จ่ายกรณีระบบล่มหรือสินค้าได้รับความเสียหาย


การเลือกรูปแบบคลังสินค้าที่เหมาะสม จะช่วยให้ธุรกิจสามารถลดต้นทุน เพิ่มความรวดเร็วในการขนส่ง และลดข้อผิดพลาดในระบบซัพพลายเชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณกำลังมองหาพาร์ตเนอร์ที่สามารถให้บริการคลังสินค้าได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งห้องเย็น คลังปลอดอากร คลังอัตโนมัติ พร้อมบริการขนส่งและ Fulfillment แบบครบวงจร SCGJWD คือผู้ให้บริการที่พร้อมตอบโจทย์ธุรกิจทุกประเภทด้วยมาตรฐานระดับสากล ติดตามสถานะได้แบบเรียลไทม์ ช่วยให้ทุกเรื่องโลจิสติกส์ดำเนินไปได้อย่างราบรื่นในทุกอุตสาหกรรม

สอบถามรายละเอียดบริการ หรือติดต่อเจ้าหน้าที่ได้ที่

Service Recommended