ส่อง 10 เทรนด์เทคโนโลยีโลจิสติกส์ปี 2025 ที่น่าจับตามอง
อุตสาหกรรมโลจิสติกส์กำลังปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของลูกค้า ทั้งในเรื่องของประสิทธิภาพ ความโปร่งใส และ ความยั่งยืน ตั้งแต่การใช้ระบบอัตโนมัติไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง โซลูชั่นที่เป็นนวัตกรรมกำลังปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทาน ช่วยให้บริษัทสามารถรับมือกับความท้าทาย และ ความต้องการที่ซับซ้อนของลูกค้าได้ นี่คือเทคโนโลยีชั้นนำที่กำลังปฏิวัติโลกของโลจิสติกส์
1. โดรน
โดรนกำลังเปลี่ยนแปลงการจัดส่งขั้นสุดท้ายหรือการส่งมอบไมล์สุดท้าย (last mile delivery) ด้วยการให้บริการที่รวดเร็วและประหยัดสำหรับพื้นที่ห่างไกลและในเมือง ลดเวลาในการจัดส่ง ลดต้นทุนการขนส่ง และลดการปล่อยก๊าซ หรือแม้แต่ในคลังสินค้า โดรนช่วยในการจัดการสินค้าคงคลังโดยการนับสต็อกได้อย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ ซึ่งช่วยลดความจำเป็นในการใช้คน ที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ และ ความผิดพลาดได้
ตัวอย่างการใช้โดรนด้านโลจิสติกส์ที่น่าสนใจ
1.1 Matternet: สตาร์ทอัพจากสหรัฐฯ ที่เชี่ยวชาญในโลจิสติกส์ด้วยโดรนสำหรับจัดส่งวัสดุทางการแพทย์และฉุกเฉิน
1.2 Wingcopter: บริษัทจากเยอรมนีที่นำเสนอโดรนหลายรุ่นที่สามารถจัดส่งพัสดุในระยะทางไกล
2. หุ่นยนต์ และ ระบบอัตโนมัติ (Robotics & Automation)
หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติกำลังเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานในคลังสินค้าโดยการเพิ่มประสิทธิภาพ ความแม่นยำ และความเร็วมากขึ้น โดยการใช้ระบบจัดเก็บสินค้าอัตโนมัติ (ASRS) ไม่ว่าจะเป็น รถโฟล์คลิฟท์ไร้คนขับ (AGV) และ หุ่นยนต์ช่วยจัดการงานที่ต้องใช้แรงงาน เช่น การคัดแยก การบรรจุ และการจัดเรียง ส่งผลให้เกิดการลดต้นทุนแรงงาน และ ปรับปรุงเวลาในการจัดการคำสั่งซื้อ นอกจากนี้ Robotic process automation (RPA) ช่วยทำให้การทำงานซ้ำๆ เช่น การออกใบแจ้งหนี้ และ การคีย์ข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็ว เปิดโอกาสให้บุคคลากรมนุษย์สามารถทำงานที่มีมูลค่าอื่น ๆ มากขึ้น
ตัวอย่างการใช้หุ่นยนต์ และ ระบบอัตโนมัติที่น่าสนใจ
2.1 SCGJWD : บริษัทชั้นนำด้านโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทานของไทย และ อาเซียน ได้ประยุกต์ใช้ระบบ ASRS ในการจัดการคลังสินค้าห้องเย็นแบบ 100% ทำให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนคลังสินค้าให้กับลูกค้า
หรือแม้แต่ใช้ระบบ Object Recognition โดยการใกล้กล้องสแกนข้อความในเอกสาร หรือ ตู้คอนเทนเนอร์ ร่วมกับระบบ RPA คีย์ข้อมูลเข้าในระบบแบบอัตโนมัติ ทำให้สามารถจัดการเอกสารต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
3. ปัญญาประดิษฐ์ (AI)
AI ช่วยปรับปรุงการดำเนินงานโลจิสติกส์โดยการทำงานอัตโนมัติ ทำนายความต้องการ และ เพิ่มประสิทธิภาพของเส้นทางการขนส่งสินค้าได้ โดย AI จะ เรียนรู้ และ วิเคราะห์ข้อมูลในอดีตเพื่อปรับปรุง คาดการณ์ การจัดการสินค้าคงคลัง และ การกำหนดตารางเวลาขนส่ง เพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุด
หรือแม้แต่แชทบอตที่ขับเคลื่อนด้วย AI ช่วยปรับปรุงการให้บริการลูกค้า โดยให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์และตอบคำถามได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังสามารถพยากรณ์การบำรุงรักษารถ หรือ คลังสินค้าได้ ซึ่งช่วยลดเวลาหยุดทำงาน โดยการตรวจพบปัญหาของอุปกรณ์ก่อนที่มันจะลุกลามเกิดเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต
ตัวอย่างการใช้ AI ที่น่าสนใจ
3.1 Optimal Dynamics: สตาร์ทอัพจากสหรัฐฯ ที่ให้บริการแพลตฟอร์มการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วย AI สำหรับการปรับปรุงโลจิสติกส์3.2 Transmetrics: สตาร์ทอัพจากบัลแกเรียที่ใช้ AI ในการปรับปรุงทำนายการขนส่ง และ การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า (Optimization)
4. บล็อกเชน (Block Chain)
ระบบบล็อกเชนช่วยเพิ่มความสมบูรณ์ และความปลอดภัยของข้อมูลธุรกรรมในโลจิสติกส์ ทำให้การจัดทำเอกสารไม่สามารถถูกปลอมแปลงได้ ซึ่งช่วยเพิ่มความโปร่งใส และ ประสิทธิภาพในห่วงโซ่อุปทาน ด้วยการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับการเคลื่อนย้าย และ สถานะของสินค้า ส่งผลดีต่อการติดตามสินค้า และ การตรวจสอบ
Smart Contracts ซึ่งเป็นคุณสมบัติหลักของบล็อกเชน ช่วยให้กระบวนการโลจิสติกส์ เช่น การผ่านพิธีการศุลกากรและการจัดการการชำระเงินเป็นไปได้เร็วขึ้น ทำให้เวลาการอนุมัติสั้นลง และ ทำให้กระบวนการทางห่วงโซ่อุปทานมีความรวดเร็วมากขึ้น เมื่อบล็อกเชนถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย มันช่วยสร้างความไว้วางใจในหมู่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ลดภาระงานทางการบริหาร และ อำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าทั่วโลก
ตัวอย่างการใช้บล็อกเชนที่น่าสนใจ
4.1 steamchain: สตาร์ทอัพจากสหรัฐฯ ที่ให้บริการระบบสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts) สำหรับการชำระเงินระหว่าง Business to Business (B2B) ทั่วโลกที่ง่าย และ ปลอดภัย ด้วยข้อมูลธุรกรรมที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
4.2 OBORTECH: สตาร์ทอัพจากเอสโตเนียที่ใช้บล็อกเชน และ IoT ผ่านแพลตฟอร์ม Smart Hub ของตน ซึ่งเป็นโซลูชั่นที่ไม่สามารถถูกปลอมแปลงได้ ช่วยให้การแชร์ข้อมูลมีความโปร่งใส
5. ยานพาหนะอัตโนมัติ (Autonomous Vehicles)
ยานพาหนะอัตโนมัติกำลังปฏิวัติโลจิสติกส์โดยการเพิ่มความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และความยั่งยืน การขจัดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ ช่วยลดอุบัติเหตุและลดต้นทุนได้ ยานพาหนะเหล่านี้สามารถทำงานได้ตลอดเวลา ช่วยเพิ่มเวลาในการจัดส่งและความยืดหยุ่น โดยเฉพาะในการจัดส่ง first mile delivery และ last mile delivery
อีกทั้งยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและใช้การวางแผนเส้นทางที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อลดการจราจรและลดการปล่อยก๊าซ ไม่มีการขับรถเร็วเกินที่กำหนด ไม่มีการขับรถนอกเส้นทาง อันเป็นที่มาของการปล่องก๊าซเรือนกระจกที่มากขึ้น
ตัวอย่างการใช้ Autonomous Vehicles ที่น่าสนใจ
5.1 Clevon: สตาร์ทอัพจากสหรัฐฯ ที่ผลิตยานพาหนะอัตโนมัติที่ไม่ปล่อยก๊าซ สำหรับการจัดส่งในเมือง โดยมีการจัดการจากผู้ควบคุมระยะไกลเพื่อลดต้นทุน ลดต้นทุนค่าแรงงานได้ 80-90% ไร้อุบัติเหตุ
6. อินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (Internet of Things)
อินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ Internet of things กำลังปฏิวัติโลจิสติกส์ด้วยการให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทาน เซ็นเซอร์ และ อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกันจะตรวจสอบสภาพการจัดส่ง เช่น อุณหภูมิ ความชื้น และ ตำแหน่ง เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าถูกส่งในสภาพที่ดีที่สุด เทคโนโลยีนี้ช่วยให้บริษัทลดการเสื่อมเสีย ติดตามการจัดส่ง และสามารถจัดการปัญหาได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ IoT ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการยานพาหนะ โดยการทำนายการบำรุงรักษา ลดเวลาหยุดทำงาน และปรับการใช้พลังงานเชื้อเพลิง ข้อมูลแบบเรียลไทม์ช่วยให้บริษัทสามารถตอบสนองได้รวดเร็วขึ้นต่อการเปลี่ยนแปลง เพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานโดยรวมได้
7. โลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics)
ความยั่งยืนเป็นเรื่องที่บริษัทต่าง ๆ ในโลกกำลังให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะด้านโลจิสติกส์ โดยบริษัทต่างๆ เลือกใช้แนวทางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน โลจิสติกส์สีเขียวที่เรามักเห็นกันในปัจจุบัน ประกอบด้วยรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน และการใช้แหล่งพลังงานทดแทนในการปฏิบัติงาน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ยังสอดคล้องกับความพยายามทั่วโลกในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutallity) อีกด้วย
ตัวอย่างโลจิสติกส์สีเขียวที่น่าสนใจ
7.1 SCGJWD :
- การขนส่ง และ การปฏิบัติงาน : ได้มีการ EV Truck and EV Forklift ในการปฏิบัติงาน สามารถลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง 356,000 ลิตร ลดต้นทุน 10.75 ล้านบาท ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 964.1 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ในปี 2566
- คลังสินค้า Smart Warehouse : พัฒนาการจัดเก็บและเบิกจ่ายด้วยระบบอัตโนมัติ ช่วยลดการใช้โฟล์คลิฟท์ได้กว่า 40 คัน ต่อ 1 คลัง รวมถึงปรับใช้พลังงานแสงอาทิตย์ทดแทนพลังงานไฟฟ้าภายในคลัง
- Logistic Planning and control tower (LPCT) พัฒนาระบบบริหารจัดการขนส่งสินค้าแบบครบวงจร เพื่อวางแผนการจัดเที่ยวขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการขนส่งเที่ยวเปล่า ด้วยระยะทางที่สั้นที่สุด และใช้เชื้อเพลิงให้น้อยที่สุด
8. ข้อมูลขนาดใหญ่และการวิเคราะห์ (Big Data & Analytics)
ข้อมูลขนาดใหญ่และการวิเคราะห์ ช่วยให้บริษัทโลจิสติกส์มีข้อมูลที่นำไปใช้ มีการตัดสินใจที่ดีขึ้น และ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เช่น การดำเนินงานในคลังสินค้าจะใช้การวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงการออกแบบคลังสินค้า และ การจัดตำแหน่งสินค้าคงคลัง นอกจากนี้การวิเคราะห์ข้อมูลตลาดช่วยให้ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ เสริมสร้างความสัมพันธ์กับผู้จำหน่าย ปรับกลยุทธ์การตั้งราคา และ จัดการระดับสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อมูลขนาดใหญ่ยังช่วยในการบริหารความเสี่ยง โดยการตรวจพบความผิดปกติของข้อมูล และ แนวโน้มของข้อมูล ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้รวดเร็ว
ตัวอย่างการใช้บิ๊กดาต้า และ การวิเคราะห์ที่น่าสนใจ
8.1 Nautiluslabs: บริษัทจากสหรัฐฯ ที่ใช้ AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเดินเรือโดยการวิเคราะห์ข้อมูลการเดินทางในอดีต คาดการณ์การใช้เชื้อเพลิงที่เหมาะสมที่สุด และ ลดต้นทุนการดำเนินงาน
8.2 FACTIC: แพลตฟอร์ม SaaS (Software as a service) จากสหรัฐฯ ที่เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์เชิงพยากรณ์สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม โดยการพยากรณ์ความต้องการของลูกค้า และใช้ระบบอัตโนมัติในการจัดการการสั่งซื้อ และ และการสต็อกสินค้าให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมที่สุด
9. คลาวด์คอมพิวติ้ง
โซลูชั่นแบบคลาวด์กำลังเปลี่ยนแปลงโลจิสติกส์ด้วยโมเดล SaaS ลดความจำเป็นในด้านโครงสร้างพื้นฐาน IT ที่ต้องใช้ทุนสูง ขณะที่ยังคงความยืดหยุ่นในการจ่ายตามการใช้งาน (pay-per-use) แอปพลิเคชันบนคลาวด์ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการโลจิสติกส์ระดับโลกโดยรวมการสื่อสารและทำลายอุปสรรคทางภูมิศาสตร์
แพลตฟอร์มคลาวด์ช่วยอำนวยความสะดวกในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล ช่วยให้กระบวนการด้านโลจิสติกส์มีประสิทธิภาพมากขึ้น รองรับการตัดสินใจที่ดีขึ้น และปรับปรุงการบริการลูกค้า นอกจากนี้ระบบที่รวมศูนย์ยังช่วยเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างทีมในห่วงโซ่อุปทาน ทำให้การทำงงานร่วมกันมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตัวอย่างการใช้แพลตฟอร์มคลาวด์ที่น่าสนใจ
9.1 Alpega: สตาร์ทอัพจากเบลเยียมที่ให้บริการระบบการจัดการการขนส่ง (Transportation Management System) แบบคลาวด์สำหรับโลจิสติกส์ทั้งหมด ช่วยให้การสื่อสาร และ ติดตามการจัดส่ง เป็นไปแบบเรียลไทม์
10. การบริหารจัดการโลจิสติกส์ที่มุ่งเน้นความยืดหยุ่น (Elastic Logistics)
การบริหารจัดการโลจิสติกส์ที่มุ่งเน้นความยืดหยุ่น (Elastic logistics) ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงขั้นตอน และ กระบวนการโลจิสติกส์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด เช่น การปรับเพิ่มหรือลดสเกลการปฏิบัติการ แนวทางนี้จะช่วยให้ใช้ทรัพยากรมีประสิทธิภาพสูงสุดในช่วงเวลาพีค และ ป้องกันไม่ให้มีกำลังการผลิตเกิน หรือ การใช้งานทรัพยากรไม่เต็มที่ในช่วงที่มีความต้องการของตลาดต่ำ
ตัวอย่างการบริหารจัดการโลจิสติกส์ที่มุ่งเน้นความยืดหยุ่นที่น่าสนใจ
10.1 Shorages: แพลตฟอร์ม fulfillment service จาก UAE ที่เชื่อมโยงธุรกิจกับโซลูชันการเก็บสินค้าแบบออนดีมานด์ ทั้งระยะสั้น หรือ ระยะยาว
เทคโนโลยีโลจิสติกส์ในอนาคต
ด้วยความต้องการจากลูกค้าที่เพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ต้องเผชิญกับแรงกดดัน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างนวัตกรรม การใช้เทคโนโลยีสมันใหม่ เช่น IoT โดรน และ โซลูชั่นที่ยั่งยืน จะยังคงเป็นตัวกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรม การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าได้อย่างแท้จริง จะช่วยให้ธุรกิจได้เปรียบในการแข่งขันอย่างเหนือคู่แข่งได้
อ้างอิงบทความจาก :
https://redarrowlogistics.com/industry-news/top-trends-shaping-logistics-in-2025/