หลายธุรกิจตั้งเป้าทำกำไรให้เติบโตจากการเพิ่มยอดขายหรือเพิ่มช่องทางการขาย แต่กลับมองข้ามหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของระบบซัพพลายเชนอย่าง "คลังสินค้า" ซึ่งเป็นหัวใจของการบริหารสต๊อกและการจัดส่ง โดยหากคลังสินค้ามีประสิทธิภาพก็ย่อมช่วยให้ธุรกิจลดต้นทุน เพิ่มความเร็วในการกระจายสินค้า และยืดหยุ่นต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ยิ่งในยุคที่อีคอมเมิร์ซเติบโตแบบก้าวกระโดด การบริหารจัดการคลังสินค้าที่มีประสิทธิภาพ จึงไม่ใช่แค่พื้นที่จัดเก็บ แต่คือเครื่องมือขยายโอกาสในการแข่งขันและทำกำไรของธุรกิจอย่างแท้จริง
นิยามคลังสินค้า
คลังสินค้า (Warehouse) เป็นสถานที่สำหรับวาง จัดเก็บ หรือกระจายสินค้า ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ สินค้ากึ่งสำเร็จรูป สินค้าสำเร็จรูป ชิ้นส่วน หรือสินค้าที่อยู่ระหว่างการผลิต โดยคลังสินค้าอาจจะมีชื่อเรียกอื่น ๆ ที่แตกต่างกันไปตามฟังก์ชันการใช้งานของคลังสินค้าแต่ละประเภท เช่น โกดัง ศูนย์กระจายสินค้า ศูนย์จำหน่ายสินค้า เป็นต้น
คลังสินค้ามีกี่ประเภท และแบบใดเหมาะกับธุรกิจของคุณ ?
คลังสินค้า มีเกณฑ์ที่ใช้สำหรับการแบ่งประเภทอย่างหลากหลาย แต่ไม่ว่าจะแบ่งตามเกณฑ์แบบใด สิ่งที่สำคัญที่สุด คือการเข้าใจฟังก์ชันของคลังสินค้าแต่ละประเภท เพื่อให้สามารถเลือกบริการคลังสินค้าที่ถูกต้องและตรงตามการใช้งานของธุรกิจ และนำไปสู่การจัดการสินค้าคงคลังตามแผนงานที่ถูกต้อง โดยคลังสินค้าที่แบ่งตามลักษณะธุรกิจ มีด้วยกัน 2 ประเภท ดังนี้
1. คลังสินค้าสาธารณะ (Public Warehouse)
คลังสินค้าสาธารณะคือพื้นที่จัดเก็บสินค้าที่ผู้ให้บริการเปิดให้เช่าพื้นที่ตามความต้องการ โดยเน้นกิจกรรมหลัก 3 อย่าง ได้แก่ การรับสินค้า (Inbound), การจัดเก็บ (Storage) และ การจ่ายสินค้าออก (Outbound) ซึ่งเหมาะสำหรับธุรกิจที่มีการขนส่งสินค้าแบบ B2B เป็นหลัก เช่น การเก็บสินค้าเพื่อกระจายออกไปยังตัวแทนจำหน่าย หรือจุดกระจายสินค้าต่าง ๆ โดยส่วนมากจะเก็บและกระจายออกในลักษณะของพาเลทหรือเป็นกล่อง โดยไม่จำเป็นต้องมีขั้นตอนการแพ็กสินค้าใหม่ก่อนจัดส่ง
คลังสินค้าสาธารณะสามารถแบ่งย่อยได้ตามประเภทของผู้ให้บริการ เช่น
- คลังสินค้าสาธารณะของบริษัทเอกชน
- คลังสินค้าสาธารณะของหน่วยงานรัฐ
- คลังสินค้าสาธารณะของสหกรณ์
การใช้บริการคลังสินค้าประเภทนี้ ผู้เช่ามักแชร์พื้นที่จัดเก็บร่วมกับผู้ประกอบการรายอื่น จึงควรเลือกผู้ให้บริการที่มีระบบจัดการสินค้าที่แม่นยำ ขั้นตอนการให้บริการที่มีมาตรฐาน และ มีบริการรองรับการเติบโตของธุรกิจอย่างครอบคลุม
จุดเด่นของคลังสินค้าสาธารณะ
- ราคาย่อมเยาเมื่อเทียบกับการสร้างคลังเอง
- มีหลายโลเคชันให้เลือกตามความสะดวก
- เหมาะสำหรับธุรกิจที่จำหน่ายสินค้าตามฤดูกาล หรือมีความต้องการเช่าพื้นที่แบบระยะสั้น
- ตอบโจทย์ทั้งธุรกิจขนาดเล็ก ธุรกิจเริ่มต้น หรือบริษัทที่ต้องการควบคุมต้นทุน แพ็ก หรือขนส่งสินค้า
2. คลังสินค้าส่วนบุคคล (Private Warehouse)
เป็นคลังสินค้าทั่วไปของบริษัทเอกชน ที่สร้างพื้นที่เก็บสินค้าของตนเองขึ้น เพื่อใช้ในการเก็บวัตถุดิบ หรือสินค้าสำเร็จรูป มักจะอยู่ติดกับส่วนผลิตสินค้าในโรงงานโดยตรง แต่อาจจะต้องใช้เงินทุนจำนวนมากในการก่อสร้าง และมีต้นทุนแฝงในแต่ละเดือน เช่น การรักษาความปลอดภัย การซ่อมบำรุง เป็นต้น
จุดเด่นของคลังสินค้าส่วนบุคคล
- จัดสรรและใช้พื้นที่ได้อิสระตามความต้องการ
- มีความยืดหยุ่นสูง ควบคุมดูแลได้ง่าย
- เหมาะสำหรับธุรกิจค้าส่ง ผู้ผลิต หรือบริษัทที่ต้องการเก็บสินค้าในระยะยาว
ข้อดีของการใช้บริการคลังสินค้าให้เช่า
1. ลดค่าใช้จ่ายในการสร้างและดูแลรักษาคลังสินค้า
การสร้างคลังสินค้าไม่ได้เป็นการจ่ายเงินสร้างเพียงครั้งเดียวแล้วจบ เพราะในแต่ละเดือนจะมีค่าใช้จ่ายแฝงอยู่ไม่น้อย เช่น ค่าน้ำค่าไฟ ค่าซ่อมบำรุง ค่ารักษาความปลอดภัย ฯลฯ ยิ่งคลังสินค้ามีขนาดใหญ่ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นด้วย ทว่า ถ้าผู้ประกอบการตัดสินใจใช้บริการคลังสินค้าให้เช่า ถึงแม้จะต้องจ่ายค่าเช่ารายเดือน แต่ก็เป็นการจ่ายแบบใช้เท่าไหร่จ่ายเท่านั้น ทำให้ค่าใช้จ่ายไม่สูงเท่ากับการต้องดูแลคลังสินค้าด้วยตัวเอง
นอกจากนั้น หากธุรกิจเติบโตขึ้นและต้องสต๊อกสินค้ามากขึ้น ก็ไม่จำเป็นต้องนำเงินมาลงทุนเพื่อขยายพื้นที่จัดเก็บสินค้า แต่สามารถโยกย้ายหรือเช่าพื้นที่คลังสินค้าเพิ่มเติม ดังนั้น การใช้บริการคลังสินค้าจึงมีความยืดหยุ่นกว่าทั้งในแง่ของพื้นที่ โลเคชัน และงบประมาณ
2. ลดความกังวลเรื่องพนักงาน
หนึ่งในหัวใจสำคัญที่จะทำให้การทำงานในคลังสินค้าราบรื่นและรวดเร็วคือ “พนักงาน” โดยสำหรับผู้ประกอบการที่ใช้บริการคลังสินค้าแบบครบวงจร ก็สามารถลดความกังวลในส่วนนี้ได้ เนื่องจากไม่ต้องจัดหา จัดจ้าง หรืออบรมพนักงานให้มีความรู้ความเข้าใจในขั้นตอนการจัดเก็บและแพ็กสินค้าเอง เพราะการใช้บริการคลังสินค้าจะมีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญผ่านการอบรมขั้นตอนการจัดการคลังสินค้ามาดูแลทุกกระบวนการ
3. มีบริการเสริม (Value Added Services) ที่ตอบโจทย์การดำเนินงาน
คลังสินค้าให้เช่าจำนวนมากในปัจจุบัน ไม่ได้ให้บริการแค่การรับ–จัดเก็บ–จ่ายสินค้าเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมบริการเสริมที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการทำงานในแต่ละขั้นตอนของห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องการลดภาระในกระบวนการเบื้องหลัง และเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงาน เช่น
- บริการตรวจสอบคุณภาพสินค้า (QC) เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าไม่มีตำหนิ และพร้อมจัดส่ง
- บริการนับสต๊อกสินค้า (Cycle Count / Physical Count) ช่วยให้ข้อมูลสินค้าคงคลังเป็นปัจจุบัน และแม่นยำ
- บริการติดฉลากสินค้า (Labeling / Re-labeling) สำหรับสินค้าเฉพาะทาง หรือการปรับบาร์โค้ดก่อนจัดส่ง
- Cross Docking ลดเวลาในการจัดเก็บ โดยรับสินค้าและกระจายออกทันทีตามคำสั่งซื้อ
- Reverse Logistics สำหรับการรับสินค้าคืน ตรวจสอบ และจัดเก็บหรือส่งคืนให้ซัพพลายเออร์
- Refurbishment สำหรับสินค้าบางชนิด เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เป็นการซ่อมแซม เปลี่ยนชิ้นส่วน เพื่อให้สินค้ากลับมาอยู่ในสภาพดีอีกครั้ง
บริการเสริมเหล่านี้ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถลดภาระการจัดการภายใน เพิ่มความยืดหยุ่น และควบคุมคุณภาพสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ทั้งธุรกิจ B2B และ B2C ที่ต้องการความแม่นยำ ความรวดเร็ว และการควบคุมต้นทุนในทุกขั้นตอน
4. ลดต้นทุนและขั้นตอนการขนส่ง
การใช้บริการจัดการคลังสินค้าแบบครบวงจร สิ่งที่ผู้ประกอบการได้รับจะครอบคลุมตั้งแต่พื้นที่เก็บสินค้า การบริหารจัดการสต๊อกสินค้า และการขนส่งสินค้าในที่เดียว ซึ่งเมื่อออเดอร์เข้าระบบ เจ้าหน้าที่จะจัดการหยิบสินค้าตามที่ระบบแจ้ง ไปจัดวางตามเส้น Routing สำหรับกระจายสินค้าไปตามภูมิภาคต่าง ๆและจัดส่งตามกำหนดเวลา โดยที่คุณจะไม่ต้องเสียเวลาติดต่อและเดินทางไปบริษัทขนส่งด้วยตัวเอง ทำให้สามารถกระจายสินค้าได้อย่างรวดเร็ว และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าอีกด้วย
5. มีเทคโนโลยีทันสมัยช่วยบริหารคลังสินค้า
เทคโนโลยีทันสมัยถูกนำมาใช้ในการบริหารคลังสินค้า อย่างโปรแกรม Warehouse Management System (WMS) ที่คิดค้นขึ้นมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานในคลังสินค้าให้มากขึ้น ทั้งในแง่ของความแม่นยำ ความรวดเร็วในการค้นหาสินค้า ลดความเสียหายของสินค้า รวมทั้งตรวจสอบสถานะของสินค้าได้ ทำให้สามารถตรวจสอบสินค้าผ่านระบบออนไลน์ได้ตลอดเวลาแบบเรียลไทม์ในทุก ๆ กระบวนการ
อีกหนึ่งระบบที่ได้รับความนิยมในคลังสินค้ายุคใหม่คือระบบ ASRS (Automated Storage and Retrieval System) ซึ่งช่วยให้การจัดเก็บและเบิกจ่ายสินค้าเป็นไปอย่างแม่นยำ รวดเร็ว ลดความผิดพลาดจากแรงงานคน ลดอุบัติเหตุจากการทำงานในพื้นที่สูง หรือยกของหนัก อีกทั้งยังช่วยประหยัดพื้นที่และลดระยะเวลาในการดำเนินงานโดยรวม
นอกจากนี้ ยังมีระบบข้อมูลที่ละเอียดครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์สินค้า พฤติกรรมของลูกค้า ฯลฯ ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ ผู้ประกอบการสามารถดึงมาวิเคราะห์ วางแผนการตลาดที่เหมาะสมและตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจให้มากขึ้น
6. มีฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ธุรกิจทุกประเภท
คลังสินค้าแต่ละประเภทมีฟังก์ชันและโลเคชันที่แตกต่างกัน รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่ประจำคลังสินค้าที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานของธุรกิจ ซึ่งผู้ประกอบการสามารถเลือกประเภทของคลังสินค้าที่เหมาะสมกับธุรกิจได้อย่างเหมาะสมตรงตามความต้องการ เช่น กิจการอุตสาหกรรม กิจการผลิตสินค้า หรือธุรกิจนำเข้า-ส่งออกระหว่างประเทศที่มีต้นทุนสูง ซึ่งต้องนำเข้าหรือส่งออกสินค้าจำนวนมาก การใช้บริการคลังสินค้าในเขตปลอดอากร คือตัวเลือกที่ตอบโจทย์ เพราะนอกจากจะคงไว้ซึ่งคุณภาพของสินค้าแล้ว ยังช่วยลดต้นทุน เพราะจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามที่กรมศุลกากรระบุไว้อีกด้วย
7. มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลากหลาย
นอกจากเทคโนโลยีที่อัปเดตทันสมัยแล้ว คลังสินค้าให้เช่ายังมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่มีคุณภาพและหลากหลาย โดยหนึ่งในสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีบทบาทสำคัญซึ่งหลาย ๆ คลังสินค้านำมาใช้ คือ บริการรถโฟล์กลิฟต์ (Forklift) มีทั้งแบบทำงานด้วยกลไกระบบไฟฟ้าหรือเครื่องยนต์ รถโฟล์กลิฟต์เป็นตัวช่วยสำคัญที่จะช่วยยกสินค้าขนาดใหญ่ และหนักเกินกว่าแรงงานคนจะยกได้ อีกทั้ง การใช้รถโฟล์กลิฟต์ย่อมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน สร้างความปลอดภัยทั้งต่อพนักงานและทรัพย์สิน ลดข้อผิดพลาดและอุบัติเหตุที่อาจทำให้พนักงานบาดเจ็บหรือสร้างความเสียหายต่อสินค้าด้วย
ปัจจัยในการเลือกคลังสินค้า เลือกยังไงให้ตอบโจทย์ ?
การเลือกคลังสินค้าที่เหมาะสมไม่เพียงแต่จะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน แต่ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในห่วงโซ่อุปทานทั้งระบบ ผู้ประกอบการควรพิจารณาปัจจัยในการเลือกคลังสินค้า ดังนี้
1. ทำเลที่ตั้งเชิงกลยุทธ์
ทำเลที่ตั้งของคลังสินค้ามีผลโดยตรงต่อต้นทุนการขนส่งและระยะเวลาในการจัดส่งสินค้า ควรเลือกทำเลที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว อยู่ใกล้ถนนหลักหรือจุดเชื่อมต่อการขนส่ง และสามารถกระจายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น คลังสินค้าที่ตั้งอยู่ใกล้ท่าเรือหรือสนามบินจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับธุรกิจนำเข้า-ส่งออก นอกจากนี้อำเภอวังน้อย จังหวัดอยุธยา ก็ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของการทำคลังสินค้า เนื่องจากเป็นจุดศูนย์กลางของประเทศไทย และ มีถนนหลักที่สามารถเชื่อมต่อได้ทุกภาค
2. เทคโนโลยีการบริหารจัดการคลังสินค้า
เทคโนโลยีที่ใช้ในการบริหารจัดการคลังสินค้าเป็นปัจจัยในการเลือกคลังสินค้าที่ส่งผลต่อความแม่นยำ รวดเร็ว และประสิทธิภาพการดำเนินงาน ผู้ประกอบการจึงควรพิจารณาคลังสินค้าที่มีการนำระบบเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้ ได้แก่
- ระบบ WMS (Warehouse Management System) ที่ช่วยบริหารจัดการสินค้าคงคลัง ติดตามสถานะสินค้า และจัดการพื้นที่คลังสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ
- ระบบ RFID (Radio Frequency Identification) ที่ช่วยในการระบุและติดตามสินค้าแบบอัตโนมัติ ลดความผิดพลาดและเพิ่มความแม่นยำในการจัดการสินค้า
- ระบบ Barcode และ QR Code สำหรับการตรวจสอบและติดตามสถานะสินค้าแบบเรียลไทม์
- ระบบ Automation เช่น ระบบลำเลียงอัตโนมัติ หุ่นยนต์จัดเก็บสินค้า ที่ช่วยลดระยะเวลาในการปฏิบัติงานและเพิ่มความแม่นยำ
- ระบบ AI และ Big Data สำหรับการวิเคราะห์และคาดการณ์ความต้องการของตลาด การวางแผนการสั่งซื้อและจัดเก็บสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ
- ขั้นตอนการทำงานแบบ Foolproof การผสมผสานทำงานที่เป็นขั้นเป็นตอนที่ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจาก Human Errors ร่วมกับเทคโนโลยีคลังสินค้าอื่น ๆ เช่น พนักงานในคลังสินค้าจะไม่สามารถลัดขั้นตอน หรือ ดำเนินการขั้นต่อไปได้ หากขึ้นตอนก่อนหน้านี้ไม่ได้ทำตามที่กำหนดไว้ตอน Protocol
คลังสินค้าที่มีการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้จะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน เพิ่มความรวดเร็วในการจัดส่งสินค้า และสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าในยุคดิจิทัล
3. ความเหมาะสมกับประเภทธุรกิจ
แต่ละธุรกิจมีความต้องการใช้คลังสินค้าที่แตกต่างกัน ดังนั้น การเลือกคลังสินค้าที่เหมาะสมกับประเภทธุรกิจจึงเป็นสิ่งสำคัญ เช่น
- ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ต้องการคลังสินค้าที่มีระบบการจัดการออเดอร์ที่รวดเร็ว มีบริการแพ็กสินค้า และมีเครือข่ายการจัดส่งที่ครอบคลุม
- ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ต้องการคลังสินค้าที่มีระบบควบคุมอุณหภูมิ มีมาตรฐานด้านความสะอาดและความปลอดภัยของอาหาร
- ธุรกิจนำเข้า-ส่งออก ควรเลือกคลังสินค้าในเขตปลอดอากรหรือใกล้ท่าเรือ/สนามบิน เพื่อลดต้นทุนและระยะเวลาในการขนส่ง
- ธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรม ต้องการคลังสินค้าที่มีความแข็งแรง สามารถรองรับน้ำหนักสินค้าได้มาก และมีอุปกรณ์ยกของที่เหมาะสม
- ธุรกิจสินค้าเภสัชภัณฑ์และทางการแพทย์ ต้องการคลังสินค้าที่มีระบบควบคุมอุณหภูมิและความชื้นที่แม่นยำ มีมาตรฐานด้านความสะอาดสูง
การเลือกคลังสินค้าที่มีฟังก์ชันการทำงานและสิ่งอำนวยความสะดวกที่สอดคล้องกับความต้องการเฉพาะของธุรกิจ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
4. ความยืดหยุ่นในการขยายพื้นที่
ธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโต ควรเลือกผู้ให้บริการคลังสินค้าที่มีความยืดหยุ่นในการปรับเพิ่มหรือลดพื้นที่ตามความต้องการ เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคตโดยไม่ต้องย้ายคลังสินค้าซึ่งอาจก่อให้เกิดต้นทุนและความยุ่งยากเพิ่มเติม
5. ระบบความปลอดภัยและการประกันภัย
คลังสินค้าที่ดีต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด ทั้งการป้องกันอัคคีภัย ระบบกล้องวงจรปิด ระบบควบคุมการเข้าออก และการตรวจตราโดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย นอกจากนี้ ควรตรวจสอบว่ามีการทำประกันภัยครอบคลุมความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับสินค้าหรือไม่
เลือก SCGJWD เป็นพาร์ตเนอร์ด้านบริการคลังสินค้าของคุณ
สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการคลังสินค้าที่มีมาตรฐานระดับสากลและบริการครบวงจร SCGJWD เป็นผู้นำด้านบริการคลังสินค้าและคลังสินค้าในเขตปลอดอากรที่มีโลเคชันหลากหลาย พร้อมทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษาและวางแผนโลจิสติกส์ที่เหมาะสมกับทุกโมเดลธุรกิจ
SCGJWD เป็นผู้ให้บริการคลังสินค้ารายแรกที่ได้รับการอนุมัติจากกรมศุลกากรในการจัดตั้งพื้นที่คลังสำหรับเขตปลอดอากรในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการนำเข้า-ส่งออกสินค้าระหว่างประเทศ บริการของ SCGJWD ครอบคลุมงานด้านต่าง ๆ เช่น
- การให้คำปรึกษาระบบงานโลจิสติกส์แบบครบวงจร
- บริการคลังสินค้าให้เช่า และ จัดการสินค้าคงคลังด้วยระบบ WMS ที่ทันสมัย
- บริการพิธีการศุลกากรสำหรับสินค้าผ่านแดน รวมถึงการขออนุญาตจากหน่วยงานราชการต่าง ๆ
- รองรับการขนส่งหลากหลายที่ยืดหยุ่น มีรถขนส่งมากกว่า 14,000 คัน และเรือบรรทุกสินค้ามากกว่า 220 ลำ ส่งมอบสินค้าตั้งแต่ต้นทางไปยังปลายทางได้อย่างไร้รอยต่อ
- พื้นที่คลังสินค้าและลานจอดพักรถยนต์มากกว่า 2.3 ล้านตารางเมตร
นอกจากบริการจัดการคลังสินค้าแล้ว SCGJWD ยังมีบริการอบรมพนักงานขับรถทั้งรถบรรทุกและรถโฟล์กลิฟต์ ณ ศูนย์ฝึกอบรมที่จังหวัดสระบุรี เพื่อยกระดับทักษะและมาตรฐานการทำงานของบุคลากรในคลังสินค้าให้มีความเชี่ยวชาญมากยิ่งขึ้น พร้อมเสริมสร้างความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน ลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ และช่วยให้การดำเนินงานในระบบโลจิสติกส์เป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงสุด
ด้วยประสบการณ์อันยาวนานและความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ SCGJWD พร้อมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่จะช่วยยกระดับการจัดการคลังสินค้าของคุณ เพิ่มประสิทธิภาพในห่วงโซ่อุปทาน ลดต้นทุนการดำเนินงาน และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืน
สนใจบริการคลังสินค้า และคลังสินค้าในเขตปลอดอากร คลิก หรือติดต่อเจ้าหน้าที่ได้ที่เบอร์ 02-710-4000 / 02-586-1979 และช่องทางไลน์ LINE : @SCGJWD
ข้อมูลอ้างอิง
- Tips For Reducing Warehouse Supply Chain Challenges. สืบค้นเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567 จาก https://www.forbes.com/councils/forbesbusinesscouncil/2022/02/23/tips-for-reducing-warehouse-supply-chain-challenges/